อัตรา ณ เวลา 05:00 GMT
ตลาดวันนี้
หมายเหตุ: ตารางข้างต้นได้รับการอัพเดทก่อนการประกาศข้อมูลการสำรวจเงินเฟ้อคาดการณ์จากผู้เชี่ยวชาญครั้งล่าสุด อย่างไรก็ตาม เราได้จัดเตรียมข้อความและกราฟไว้ล่วงหน้า ดังนั้นการคาดการณ์ที่ระบุไว้ในตารางข้างต้นกับในข้อความและกราฟอาจแตกต่างกัน
วันนี้เป็นเดือนใหม่และจะมีการประกาศดัชนีผู้จัดการฝ่ายซื้อ (PMI) ภาคการผลิต โดยมีตัวเลขสรุปสำหรับประเทศที่โชคดีซึ่งมีตัวเลขเบื้องต้นแล้ว เมื่อดูตัวเลขเบื้องต้นเหล่านี้ ส่วนใหญ่อยู่ในเกณฑ์ที่ “การขยายตัวลดลง” กล่าวคือยังคงเหนือกว่าเส้น 50 ซึ่งเป็นเส้นที่อาจจะ “ดีหรือร้าย” แต่ไม่สูงเท่าในเดือนธันวาคม โดยเข้าใจว่าเป็นเพราะเกิดการระบาดของโอไมครอน แต่มีสองประเทศที่ทำได้ดี ได้แก่ เยอรมนีซึ่งการเติบโตทั้งในภาคการผลิตและภาคบริการกระเตื้องขึ้น ซึ่งภาคบริการไม่เคยแข็งแกร่งตั้งแต่เริ่มเกิดโรคระบาดและเคยหดตัวในอดีต ที่น่าแปลกใจก็คือที่ญี่ปุ่น มีความตกใจเรื่องการล็อกดาวน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น และยังคงดูมีความสม่ำเสมอตั้งแต่วันที่ 1
ส่วนตัวเลข PMI ภาคการผลิต ของ Institute of Supply Management (ISM) ที่สหรัฐฯ จะประกาศออกมาหลังจากนั้นในวันนี้ โดยคาดว่าดัชนีดังกล่าวจะปรับตัวลดลง 1.3 จุดซึ่งน้อยกว่าการปรับตัวลดลง 2.7 จุดในดัชนีเดียวกันนี้ของ Markit ผมคาดว่าดัชนีราคาที่ได้ใช้จ่ายไป (Prices paid index) ซึ่งดูน่ากังวลจะปรับตัวลดลง 1.2 ด้วย แต่ไม่มากนักเมื่อคิดถึงจำนวนตัวเลขก่อนหน้านี้ ในระยะสั้น ตัวเลขดังกล่าวควรแสดงว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ กำลังขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปสู่ภาวะที่แข็งแกร่งและราคาจะยังคงสูงขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้ Fed ใช้มาตรการที่เข้มงวดขึ้น USD+
นอกจากตัวเลข PMI แล้ว จะมีการประกาศข้อมูลการว่างงานของเยอรมนีประจำเดือนมกราคม ซึ่งไม่น่าจะออกมาดีนัก โดยคาดว่าอัตราการว่างงานจะคงที่ ส่วนตัวเลขผู้ถูกเลิกจ้างคาดว่าจะลดลงเล็กน้อย ผมอยากจะบอกว่านี่เป็นตัวเลขที่ดีเมื่อพิจารณาถึงภาวะเงินฝืดที่เกิดขึ้นในเดือนก่อน แต่อาจไม่เพียงพอที่จะทำให้ EUR ปรับตัวเช่นกัน
การว่างงานในยูโรโซนซึ่งจะประกาศออกมาในไม่กี่ชั่วโมงหลังจากนั้นจะเป็นข้อมูลประจำเดือนธันวาคม ไม่ใช่ของเดือนมกราคม โดยคาดว่าจะปรับตัวลดลงเล็กน้อย หากการคาดการณ์ถูกต้อง อัตราการว่างงานในยูโรโซนจะกลับมาปรับตัวลดลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ก่อนเกิดการระบาด (ตัวเลขเก่าย้อนไปถึงเดือนเมษายน 1998) แม้เรายังไม่มีข้อมูลอัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงาน แต่ตามข้อมูลของ World Bank ในปี 2020 เราได้เห็นอัตราการมีส่วนร่วมของกำลังแรงงานที่สูงสุดเป็นประวัติการณ์ในยูโรโซน (80.97) ดังนั้น สถานการณ์การจ้างงานในยุโรปน่าจะค่อนข้างดีเมื่อเทียบกับข้อมูลในอดีตเป็นอย่างน้อย
มีการคาดว่าการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสหราชอาณาจักรจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยที่ 66k สิ่งที่น่าขันก็คือในเดือนที่แล้ว มีการคาดว่าตัวเลขดังกล่าวจะปรับตัวลดลงไปที่ 66k เช่นกัน บางทีนักเศรษฐศาสตร์อาจจะส่งตัวเลขการคาดการณ์เดิมหรือเปล่า แต่ตัวเลขดังกล่าวก็ดูสมเหตุสมผล
คาดการณ์ว่า GDP รายเดือนของแคนาดาสำหรับเดือนพฤศจิกายนจะปรับตัวเพิ่มขึ้นปานกลาง ข้อมูลในระดับอุตสาหกรรมบ่งชี้ว่าบางภาคส่วนได้รับผลกระทบจากการที่โรคระบาดกลับมาอีกครั้ง เช่น ภาคที่อยู่อาศัย/บริการด้านอาหารและศิลปะ/งานบันเทิง ขณะที่การค้าส่ง การผลิตและการก่อสร้างยังคงได้รับประโยชน์ ส่วนผลผลิตในเหมืองแร่ เหมืองหิน น้ำมันและแก๊ซจะหักล้างตัวเลขที่เคยเพิ่มขึ้นเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม ตัวเลขดังกล่าวควรเพียงพอที่จะทำให้ GDP ของแคนาดากลับไปสูงกว่าระดับเส้นใกล้ก่อนเกิดการระบาด ซึ่งเป็นความสำเร็จอย่างไม่ต้องสงสัย จึงอาจกระตุ้นให้ Bank of Canada ใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น CAD+
โครงการ Job Offers and Labor Turnover Survey (JOLTS) คาดว่าจะออกมาปรับตัวลดลงปานกลางในส่วนของงานใหม่ แต่ยังคงอยู่ในระดับค่อนข้างสูงซึ่งสูงกว่าก่อนเกิดโรคระบาดเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ ไม่มีการคาดการณ์อัตราการลาออกซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 3% ในเดือนที่ผ่านมา
เมื่อพิจารณาถึงจำนวนผู้ว่างงานที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ก็คาดว่าอัตรารับสมัครงานต่อการเลิกจ้างจะปรับตัวสูงขึ้นจาก 1.63 เทียบกับ 1.55 ซึ่งช่วยยืนยันให้กับ FOMC ว่า “สภาวะในตลาดแรงงานกำลังจ้างงานเต็มกำลังอย่างต่อเนื่องในด้านระดับความสูงสุดของการจ้างงาน โดยสอดคล้องกับเสถียรภาพทางราคา” ดังที่ Powell ประธาน Fed ได้กล่าวถึงในงานแถลงข่าวของเขา
ผมคิดว่าผมสมควรที่จะยกเอาคำพูดเหยียดยาวในหัวข้อนี้ของเขามาเนื่องจากเห็นได้ชัดว่าเขากำลังพูดถึง JOLTS (ดังนั้น คุณจะสามารถเข้าใจได้ว่าทำไมผมจึงให้ความสำคัญกับดัชนีนี้ทุกเดือนแม้จะไม่ใช่ตัวชี้วัดที่สำคัญในตลาด)
ข้อมูลเรื่องตลาดแรงงานในขณะนี้ก็คือมีการเปิดรับสมัครงานมากกว่าจำนวนผู้ว่างงานถึงหลายล้านตำแหน่ง ดังนั้น หากคุณถามว่าเราจะสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยและเปลี่ยนไปใช้ภาวะทางการเงินที่เข้มงวดและให้ความช่วยเหลือน้อยลงโดยไม่ส่งผลเสียต่อตลาดแรงงานหรือไม่ ผมคิดว่าเรายังคงสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้อีกเล็กน้อยโดยไม่กระทบต่อตลาดแรงงาน ซึ่งวัดจากเกณฑ์จำนวนมาก เช่น ตลาดแรงงานที่มีความต้องการสูงเป็นประวัติการณ์ ระดับการเปิดรับสมัครงานและการลาออกที่เป็นประวัติการณ์ นอกจากนี้ ค่าแรงก็กำลังปรับตัวขึ้นไปทำจุดสูงสุดในรอบหลายทศวรรษ หากคุณดูแบบสำรวจแรงงาน คุณจะเห็นว่าพวกเขาหางานได้เยอะมาก หากคุณดูแบบสำรวจบริษัท คุณจะเห็นว่าแรงงานขาดแคลน และผมไม่ได้เห็นตัวเลขข้อมูลทั้งหมดนี้ที่อยู่ในระดับนี้มานานมากแล้ว ดังนั้น ตลาดแรงงานจึงแข็งแกร่งมาก ทำให้ผมรู้สึกว่าเราสามารถปรับขึ้นดอกเบี้ยได้โดยไม่ต้องทำให้เกิดความเสียหายที่รุนแรง
เมื่อ Powell พูดถึง “งานที่มีเยอะมาก” เขาใช้ข้อมูลอ้างอิงจาก Conference Board’s monthly consumer sentiment survey ซึ่งมีคำถามว่างาน “มีเยอะมาก” หรือไม่และพวกเขา “หางานได้ยาก” หรือไม่ ดัชนี “jobs plentiful (ความเยอะของงาน)” ทำสถิติสูงสุดที่ 56.5 ในเดือนกันยายนและหลังจากนั้นก็ปรับตัวลดลงเล็กน้อย แต่ยังคงสูงต่างจากปกติที่ 55.10 ส่วนดัชนี “hard to get (การหางานได้ยาก)” อยู่ที่ 12.5 ซึ่งไม่ห่างจากจุดต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 9.6 จากข้อมูลย้อนหลัง 50 ปี สิ่งเหล่านี้เป็นตัวบ่งชี้ที่ทำให้แน่ใจได้ว่าสภาวะในทุกวันนี้เทียบกับในอดีตเป็นอย่างไร
ความแตกต่างระหว่างข้อมูล “ความเยอะของงาน” และ “การหางานได้ยาก” เรียกว่า Conference Board jobs diffusion index และมีความเกี่ยวเนื่องที่สำคัญกับอัตราการว่างงาน ซึ่งเกือบทำสถิติสูงสุดที่ 44.4 ในเดือนสิงหาคม (สถิติสูงสุดอยู่ที่ 46.2 ในเดือนกรกฎาคม 2000) โดยอัตราการว่างงานปรับตัวลดลงเล็กน้อยไปที่ 42.6 ตัวชี้วัดนี้เป็นหนึ่งในตัวชี้วัดว่าตลาดแรงงานแข็งแกร่งต่างจากปกติในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม หากคุณต้องการทำความเข้าใจว่าทำไมอัตราการลาออกสูงสุดเป็นประวัติการณ์และทำไมบริษัทจึงหาพนักงานได้ยากแบบนี้ โปรดรับชมวิดีโอนี้ ซึ่งจัดขึ้นที่ Walmart บริษัทนายจ้างภาคเอกชนที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ
https://twitter.com/TheMarketDog/status/1487417198952001537?s=20&t=oV8Lbmu5ASkXmX9YcJPnwA
นอกจากนี้ คุณอาจสนใจรับชมวิดีโอเกี่ยวกับผู้ที่ทำงานเต็มเวลาแต่ไม่มีเงินพอจ่ายค่าที่พักจนต้องนอนในรถของตนเอง “ความเยอะของงาน” ไม่ได้บ่งบอกถึงคุณภาพของงานหรือบอกว่างานเหล่านั้นมีค่าแรงที่เพียงพอต่อค่าครองชีพหรือไม่ ตัวอย่างเช่นพนักงานของ Walmart ได้รับค่าจ้าง $24k ต่อปีโดยเฉลี่ย และมีการประเมินว่าพนักงาน 14,500 คนของ Walmart ได้รับบัตรอาหารซึ่งเป็นโครงการอาหารสำหรับผู้ยากไร้ของรัฐบาลสหรัฐฯ
https://www.youtube.com/watch?v=f78ZVLVdO0A
เมื่อพูดถึงเรื่องงาน นิวซีแลนด์จะประกาศข้อมูลการจ้างในช่วงกลางคืน โดยคาดว่าอัตราการจ้างงานจะเพิ่มขึ้นและอัตราการว่างงานจะลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ห้า
แม้จะมีประเทศอื่นที่การจ้างงานฟื้นตัวกลับไปยังระดับก่อนเกิดโรคระบาด แต่ผมคิดว่านิวซีแลนด์เป็นเพียงประเทศอุตสาหกรรมเดียวที่ฟื้นตัวกลับไปเหนือเทรนด์ก่อนเกิดโรคระบาด (กล่าวคือสูงขึ้นกว่าตอนที่ยังไม่มีโรคระบาด)
ผมอยากจะบอกว่าตัวเลขดังกล่าวอาจกระตุ้นให้ Reserve Bank of New Zealand ใช้นโยบายที่เข้มงวดขึ้น แต่จนถึงตอนนี้ พวกเขาได้ปรับขึ้นดอกเบี้ยมาสองครั้งแล้วและยังมีท่าทีชัดเจนว่าพวกเขาตั้งใจจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก ซึ่งอาจเป็นข่าวดีสำหรับ NZD
วันนี้จะมีแถลงการณ์ของ Reserve Bank of Australia Gov โดย Lowe จะให้ความเห็นเป็นครั้งแรกหลังการประชุม RBA วานนี้จึงน่าสนใจเป็นพิเศษ