ผมไม่ชอบโดนัลด์ รัมสเฟลด์ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมสหรัฐ ผู้สรรค์สร้างการบุกอิรักของสหรัฐเท่าไหร่นัก แต่เขาได้พูดสิ่งหนึ่งอันเป็นที่น่าจดจำ และกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของคำศัพท์อเมริกัน ในการบรรยายสรุปข่าวของกระทรวงกลาโหมสหรัฐเมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2002 โดนัลด์ รัมสเฟลด์ถูกถามเกี่ยวกับการขาดหลักฐานเชื่อมโยงรัฐบาลอิรักกับการจัดหาอาวุธทำลายล้างสูงให้กับกลุ่มก่อการร้าย เขาตอบว่า
รายงานที่บอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมักเป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผม เพราะอย่างที่เรารู้ มันมีสิ่งที่รู้ว่ารู้ หรือก็คือมีสิ่งที่เรารู้ว่าเรารู้ เรายังรู้ด้วยว่ามีสิ่งที่รู้ว่าไม่รู้ กล่าวคือเรารู้ว่ามีบางสิ่งที่เราไม่รู้ แล้วก็ยังมีสิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้ หรือสิ่งที่เราไม่รู้ว่าเราไม่รู้ และหากดูตลอดประวัติศาสตร์ของประเทศเราและประเทศเสรีอื่นๆ ก็เป็นประเภทหลังที่มีแนวโน้มว่าจะเป็นประเภทที่รับมือยาก
ตลาดการเงินก็เช่นเดียวกัน ที่มักจะเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้ – สิ่งที่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับมันเลย – ที่สำคัญต่อตลาด ในช่วงต้นปี 2020 ใครใส่การแพร่ระบาดครั้งใหญ่ทั่วโลกลงในลิสต์ของสิ่งที่ต้องกังวลในปีนั้นบ้าง?
สำหรับปี 2022 “สิ่งที่รู้ว่าไม่รู้” บางส่วนของเราคือการพัฒนาของไวรัสและจังหวะของการปรับนโยบายการเงินให้เป็นปกติมาตรฐาน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของจีนและเศรษฐกิจของประเทศนั้นๆ โดยเฉพาะในเรื่องที่ว่าจะส่งผลกระทบต่ออุปสงค์ของสินค้าโภคภัณฑ์ทั่วโลกอย่างไร โอเปคและตลาดน้ำมัน – พวกเขาจะก้าวทันกับความต้องการที่เพิ่มขึ้นได้หรือไม่? สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่ผมได้กล่าวถึงในมุมมองปี 2022 ของผม
วันนี้ผมอยากจะพูดถึง “สิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้” บางอย่าง – บางสิ่งที่อาจเกิดขึ้นซึ่งเราไม่ได้นึกถึงมัน
- การแตกร้าวภายในของเกาหลีเหนือ
ผมสมัครช่อง Voice of North Korea ใน Patreon ซึ่งเป็นช่องของ Yeonmi Park ผู้แปรพักตร์ชาวเกาหลีเหนือ นอกจากนี้ยังมีช่อง YouTube ฟรีของเธอที่คุ้มค่าที่จะติดตาม หนึ่งในวิดีโอล่าสุดของเธอคือ ภัยคุกคามที่คืบคลานเข้ามาซึ่งบ่งบอกถึงการล่มสลายของระบอบการปกครองของเกาหลีเหนือ เธอกล่าวว่ามีข้อบ่งชี้ว่าเกาหลีเหนืออาจล่มสลายเนื่องจากความเครียดจากการแพร่ระบาดครั้งใหญ่ เกาหลีเหนือไม่มีวัคซีนหรืออุปกรณ์ใดๆ ในการจัดการกับไวรัส และประชากรทั้งหมดขาดสารอาหารและมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งรวมถึงกองทัพขนาดมโหฬารที่มีประชากรเกือบ 1 ล้านคน (3.7% ของประชากรทั้งหมด) เมื่อคนในกองทัพติดเชื้อ ไวรัสก็น่าจะแพร่กระจายไปโดยไม่มีการตรวจสอบและทำให้กองทัพล่มสลาย ซึ่งจะทำให้ระบอบการปกครองไม่มีที่พึ่ง Yeonmi Park ยังถกเถียงอีกด้วยว่าสหายที่เคารพ คิม จองอึน อาจเสียชีวิตไปแล้ว เธอเป็นคนมองโลกในแง่ดี ผมจึงไม่เชื่อทุกอย่างที่เธอพูด แต่การถกเถียงเรื่องการแพร่ระบาดนั้นฟังดูสมเหตุสมผล เธอฉะว่าจีนจะเข้ายึดครองเกาหลีเหนือในกรณีที่เกิดการล่มสลาย ซึ่งอาจก่อให้เกิดวิกฤตระดับนานาชาติครั้งใหญ่ นี่จะเป็นขาขึ้นแบบสุดโต่งสำหรับ CHF เนื่องจาก JPY อาจไม่ทำหน้าที่เป็นสกุลเงินที่ปลอดภัยกับความโกลาหลดังกล่าวในประเทศเพื่อนบ้านยิงนิวเคลียร์
2. ประธานาธิบดีโจ ไบเดนเป็นบุคคลที่มีอายุมากที่สุดที่ครองทำเนียบขาว เขาอาจเสียชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้ เหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อสหรัฐอย่างไร? รองประธานาธิบดีกมลา แฮร์ริสจะได้ขึ้นเป็นประธานาธิบดี เธอมีฐานเสียงไม่แน่นพอแม้แต่ในพรรคเดโมแครตเอง ซึ่งน้อยลงไปอีกเยอะเมื่อเทียบในระดับประเทศ สิ่งนี้จะทำให้รัฐบาลสหรัฐเกิดความโกลาหลก่อนการเลือกตั้งกลางเทอมปี 2022 ซึ่งอาจส่งผลให้พรรครีพับลิกันในสภาได้เสียงข้างมากไป และทำให้สหรัฐล็อคเป็นเงื่อนขยับเขยื้อนไม่ได้
3. ทรัมป์ถูกจับ…หรือตาย
เหตุการณ์นี้เป็นความเสี่ยงของตลาดได้ยังไง? เพราะผมคิดว่า a) เป็นไปได้ที่ถ้าหากไม่มีแนวโน้มว่าเขาจะถูกจับกุม และ b) ผมคิดว่ามันอาจจะทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐอเมริกาได้ แม้หลายคนจะคิดว่า “ได้เวลาสักที!” อย่าลืมว่ามีคน 74 ล้านคนโหวตเลือกเขา ซึ่งมากเป็นอันดับสองที่ผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเคยได้รับ ผมไม่สงสัยเลยว่าการจับกุมทรัมป์จะกระตุ้นให้พลเมืองบางส่วนหยิบอาวุธขึ้นมาต่อต้านรัฐบาล ให้ลองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อวันที่ 6 มกราคม และนั่นอาจทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในสหรัฐ ส่วนเรื่องการเสียชีวิตของเขา…เขาอายุ 75 ปี อ้วน ติดยา และเคยติดโควิด-19 เขาอาจเสียชีวิตเมื่อไหร่ก็ได้ เหตุการณ์นี้จะส่งผลต่อพรรครีพับลิกันอย่างไร?
เกี่ยวโยงกับเรื่องนั้น ผมคิดว่าการเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในเดือนพฤศจิกายนเป็นหนึ่งใน “เรื่องที่รู้ว่าไม่รู้” โดยอาจส่งผลให้พรรคเดโมแครตสูญเสียการควบคุมสภาคองเกรส ซึ่งหมายความว่ารัฐบาลที่เสียงแตกจะไม่สามารถดำเนินการใดๆ ได้เต็มที่ หรืออาจจะแย่กว่านั้น พรรคเดโมแครตอาจชนะ แต่ไม่สามารถเข้ารับตำแหน่งได้ด้วยการโกงในส่วนของพรรครีพับลิกัน ซึ่งอาจเป็นฝ่ายนับคะแนน นั่นอาจทำให้สหรัฐเผชิญกับวิกฤตรัฐธรรมนูญที่ยุ่งเหยิง แน่นอนว่ายังมีความเป็นไปได้ที่พรรคเดโมแครตจะคว้าเสียงข้างมากได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งจะทำให้สามารถดำเนินการได้อย่างเด็ดขาดและผ่านกฎหมายที่ก้าวหน้าที่ยอดเยี่ยมทุกประเภท ซึ่งท้ายที่สุดจะนำสหรัฐเข้าสู่ศตวรรษที่ 21 แต่นั่นเป็นสถานการณ์ที่เพ้อฝันและมหัศจรรย์เกินกว่าที่จะนำมาพิจารณา
4. การจลาจลต่อต้านข้อจำกัดของโควิด-19
การระบาดครั้งใหญ่ที่เลวร้ายลงไปอีกไม่ใช่ “สิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้” ในทางกลับกัน มันอาจเป็นอันดับ 1 ในความเสี่ยงของทุกคนในปี 2022 แต่ถ้าทั่วโลกต้องกลับเข้าสู่ภาวะล็อคดาวน์…มีผู้คนมากมายทุกที่ที่เบื่อเต็มทนกับการต้องถูกล็อคดาวน์แล้ว ความเสี่ยงที่ไม่ทราบสาเหตุไม่ใช่ความเสียหายต่อเศรษฐกิจจากการล็อคดาวน์เช่นเดียวกันกับเหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดจากการต่อต้านการล็อคดาวน์ “สิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้” ไม่ใช่ตัวไวรัส แต่เป็นการตอบสนองของประชาชนและทางการเมืองต่อไวรัส การเลือกตั้งของฝรั่งเศสในเดือนเมษายน การเลือกตั้งของไอร์แลนด์เหนือในเดือนพฤษภาคม และการเลือกตั้งระดับรัฐบาลกลางของออสเตรเลียในเดือนพฤษภาคมจะได้รับผลกระทบอย่างไร?
ในทางกลับกัน เราอาจโชคดีและได้เห็นสิ่งที่ตรงกันข้าม นั่นคือโควิด-19 อ่อนแรงและสลายหรือจางหายไปเป็นความเจ็บป่วยที่ไม่เป็นอันตราย ตอนนี้เราไม่กังวลเรื่องไข้หวัดใหญ่สเปนหรือกาฬโรคกันแล้ว แม้ว่าครั้งหนึ่งโรคเหล่านั้นจะคร่าชีวิตผู้คนไปหลายล้านคนก็ตาม เห็นได้ชัดว่าโรคต่างๆ สามารถอ่อนแรงและตายได้ด้วยสาเหตุตามธรรมชาติ บางทีสายพันธุ์โอมิครอนหรือหนึ่งในรุ่นสืบทอดอาจได้รับการพิสูจน์ว่าแพร่กระจายง่ายกว่าและเป็นอันตรายน้อยกว่า และอาจกลายเป็นเพียงความเจ็บป่วยอีกอย่างหนึ่งที่ผู้คนต้องรับมือและอยู่กับมัน
5. ภาวะเงินเฟ้อในญี่ปุ่น
ญี่ปุ่นไม่มีภาวะเงินเฟ้อที่ชัดเจนเลยในรอบ 25 ปี ครั้งเดียวที่ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้นมากกว่า 2% ต่อปีคือตอนที่รัฐบาลขึ้นภาษีเพื่อการบริโภค ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่ดันให้ราคาขายปลีกปรับตัวสูงขึ้น แต่ด้วยราคาวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นประมาณ 75% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน และราคาผู้ผลิตเพิ่มขึ้น 9% สิ่งนี้จะทำให้เปลี่ยนแปลงไปหรือไม่? และธนาคารกลางญี่ปุ่นจะมีปฏิกิริยาอย่างไร? ลงลึกไปกว่านั้น จะเกิดอะไรขึ้นกับการเงินของรัฐบาลญี่ปุ่น หากรัฐบาลต้องจ่ายดอกเบี้ยจำนวนมากสำหรับหนี้ของตน? ญี่ปุ่นถูกเรียกว่าเป็น “แมลงที่บินเข้าหากระจกรถ” มาหลายปีแล้วเนื่องจากการเงินที่ไม่ยั่งยืน แต่ก็ยังไปได้เรื่อยๆ เพราะสามารถหาเงินได้โดยแทบไม่ต้องเสียอะไรเลย ด้วยอัตราเงินเฟ้อ รายได้จากภาษีของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้น แต่ค่าดอกเบี้ยก็เช่นกัน
อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นในญี่ปุ่นอาจดันนักลงทุนสไตล์ Carry Trade ทั่วโลกไปที่อื่นเพื่อค้นหาสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ซึ่งอาจหมายถึง EUR หรือ CHF ที่อ่อนค่าลง
ผมขอแจ้งว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคหรือ CPI ทั่วประเทศของญี่ปุ่นจะออกมาในวันศุกร์นี้ โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกับ CPI ของโตเกียวในเดือนนี้ และผมสงสัยว่าจะทำให้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่หรือเปล่า
6) ภาวะเงินฝืดเข้าชน
บางทีผมอาจจะเชื่อประธานพาวเวลล์มากไป แต่ผมยังคงคิดว่าสาเหตุหลายประการของระดับเงินเฟ้อที่สูงในปัจจุบันนั้นเป็นเรื่องชั่วครู่ชั่วคราว เช่น มีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของอุปสงค์ และรูปแบบของอุปทานมีความยากลำบากในการปรับตัว จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อทำได้? จะเกิดอะไรขึ้นเมื่ออุปสงค์ถึงเป้าหรือเมื่อกำลังการผลิตขยายเพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองต่ออุปสงค์ที่อาจเป็นการเพิ่มขึ้นแค่เพียงชั่วคราว? มีความเป็นไปได้ที่ภาวะเงินเฟ้อจะระเบิดอย่างกะทันหัน ซึ่งก็อาจสิ้นสุดลงอย่างกะทันหันได้เช่นกันเมื่ออุปทานที่เพิ่มขึ้นมาสอดคล้องกับอุปสงค์ที่ลดลง เช่นนั้นเราอาจพบว่าอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงสูงกว่าที่เป็นอยู่ในขณะนี้เป็นอย่างมาก
8 การแบ่งแยกไอร์แลนด์เหนือ
มีการให้ความสำคัญอย่างมากกับความเป็นไปได้ที่สกอตแลนด์จะลงคะแนนให้แยกตัวเป็นเอกราช แต่ผมคิดว่าเป็นไปได้มากกว่าที่ไอร์แลนด์เหนือจะไปก่อน ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจระหว่างไอร์แลนด์เหนือกับสาธารณรัฐนั้นใหญ่กว่าความสัมพันธ์ระหว่างสกอตแลนด์กับสหภาพยุโรปมาก แต่ใครจะไปรู้ว่าเศรษฐกิจไม่ใช่แรงผลักดันสำคัญในเรื่องนี้ มิฉะนั้น Brexit ก็คงไม่เกิดขึ้นตั้งแต่แรก รัฐบาลสหราชอาณาจักรกำลังรังสรรค์ Brexit ได้เละเทะตามสูตร ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจเลยเพราะไม่มีทางที่จะปล่อยให้ไอร์แลนด์เหนืออยู่ทั้งในสหราชอาณาจักรและในสหภาพยุโรปในเวลาเดียวกัน มีเพียงอนุภาคควอนตัมเท่านั้นที่สามารถอยู่ในสองสถานะพร้อมกันได้ การเลือกตั้งสมัชชาไอร์แลนด์เหนือในเดือนพฤษภาคมอาจเป็นเหตุการณ์ที่เสี่ยงสำหรับตลาด แม้ว่าจะยังเป็นเพียงวันแรกๆ แต่โพลก็แสดงว่า Sinn Fein ซึ่งเป็นพรรคที่เลือกที่จะรวมตัวกับทางใต้เป็นผู้นำ
ในทำนองเดียวกัน ผมขอเพิ่มความเป็นไปได้ที่บอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร จะถูกไล่ออกจากตำแหน่งในระหว่างปีในลิสต์นี้ ยกเว้นว่าผมไม่คิดว่านี่เป็น “สิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้” แม้แต่น้อย กลับกันผมตีว่ามีโอกาสเกินกว่า 50-50 เสียด้วยซ้ำ
ในการสำรวจความคิดเห็นเดือนเมษายน 11% ของผู้ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าประเทศนี้จะไม่มีสภาพแบบในปัจจุบันภายในระยะเวลาหนึ่งปี ร้อยละสามสิบห้ากล่าวว่าจะไม่มีสภาพแบบในปัจจุบันภายในระยะเวลาห้าปี
ผู้คนในไอร์แลนด์เหนือ ไม่ใช่สกอตแลนด์ เป็นผู้ที่สงสัยมากที่สุดเกี่ยวกับความเข้มแข็งของสหภาพ..
7) คริปโตแตกร้าว
ผมคิดว่าประเทศหลักอย่างน้อยหนึ่งประเทศสามารถประกาศได้ว่าพวกเขากำลังออกสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลางหรือ Central Bank Digital Currency (CBDC) ตามที่ผมเคยโต้แย้งไป สิ่งนี้จะขจัดวัตถุประสงค์ของคริปโตหรือ Stablecoin ออกจากมุมมองของสกุลเงิน (แต่ไม่ใช่จากมุมมองของ “แหล่งเก็บมูลค่า”) แต่ถ้าคริปโตไม่มีช่องทางในการชำระเงินอีกต่อไป แล้วทำไมพวกมันถึงควรเป็นแหล่งเก็บมูลค่าในกระแสหลักล่ะ? ดังนั้นผมคิดว่าการนำ CBDC ไปใช้อย่างแพร่หลายอาจทำให้การบูมของคริปโตสิ้นสุดลง
แน่นอนว่าผมมองโลกในแง่ร้ายเกี่ยวกับคริปโตมาเป็นเวลานาน อาจเป็นเพราะผมได้เผชิญสิ่งที่รุ่งจนกลายเป็นสิ่งที่ร่วง (ผมจำราคาโลหะเงินเกือบ $50 ต่อออนซ์และผมจำตอนที่ Pets.com เป็นที่รักของตลาดได้) บางทีความเสี่ยงที่แท้จริงอาจเป็นด้านตรงกันข้าม นั่นคือการ “หน้ามืดซื้อ” ในคริปโตที่ดูดพลังออกจากตลาดอื่นๆ และทำให้ผมดูโง่ (ไม่เอาความคิดเห็นจากบรรณาธิการนะ)
8) ความก้าวหน้าทางการแพทย์ที่น่าทึ่ง
ผมไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะส่งผลกระทบต่อตลาดมากพอๆ กับผลกระทบทางสังคมหรือไม่ แต่…ลองคิดถึงว่าอุตสาหกรรมยาสามารถพัฒนาวัคซีนสำหรับไวรัสโควิด-19 ได้เร็วแค่ไหน ผมไม่แน่ใจว่าทุกคนรู้หรือไม่ว่าเรื่องนี้มันสุดยอดเพียงใด บางทีนี่อาจแสดงถึงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมยาที่อาจนำไปสู่ยาและการรักษาใหม่ๆ ที่น่าทึ่งเพื่อยืดอายุขัยและสุขภาพ ถ้าจู่ๆ ทุกคนอายุยืนยาวขึ้นอีก 25 ปี ก็อาจส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการแพทย์และเภสัชกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมประกันชีวิตและเงินบำนาญด้วย
ผมยังคงรอสิ่งมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยีอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ชิปสามมิติที่จะเพิ่มความเร็วในการประมวลผลอย่างมหาศาลขณะที่แก้ปัญหาเรื่องความร้อนไปด้วย เป็นต้น ผมต้องขอบอกว่าคนทั่วไปไม่รู้ว่าธัมบ์ไดรฟ์ USB ขนาด 2TB มันเป็นเหมือนปาฏิหาริย์เพียงใด
9) เรื่องอื่นๆ
นี่คือ “สิ่งที่ไม่รู้ว่าไม่รู้” ของจริง มันคือสิ่งที่ผมไม่รู้เรื่องเลยในวันนี้ และไม่เคยนึกถึงมาก่อนเลย รับรองได้เลยว่ามันมาแน่และจะเป็นเรื่องใหญ่มาก อย่าลืมคอยติดตาม!
สัปดาห์หน้า: สัปดาห์ที่เงียบสงบ
สัปดาห์ที่ผ่านมาเต็มไปด้วยเหตุการณ์และข้อมูล: การประชุมธนาคารกลางที่สำคัญห้าครั้ง, PMI เบื้องต้น, ดัชนียอดขายปลีกในสหรัฐ, CPI ของสหราชอาณาจักร และข้อมูลตลาดแรงงาน เป็นต้น แต่สำหรับสัปดาห์หน้า: ไม่มากนัก อันที่จริงแทบไม่มีอะไรเลยมากกว่า
วันพฤหัสบดีอาจเป็นวันเดียวที่น่าสนใจในสัปดาห์หน้า รายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลของสหรัฐจะมีการเผยแพร่พร้อมกับตัวปรับดัชนีราคาจากรายจ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) ที่สำคัญ และมาตรวัดอัตราเงินเฟ้อที่เฟดเลือกใช้
ตัวเลขตัวปรับ PCE คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 5.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 1982 ในขณะที่มาตรวัดหลัก ซึ่งเป็นมาตรวัดเงินเฟ้อที่เฟดชื่นชอบ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 4.5% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ซึ่งสูงที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 1989 ทั้งสองต่างสูงกว่าเป้าของเฟดที่ 2% เป็นอย่างมาก ซึ่งยืนยันแนวคิดที่ว่าภาวะเงินเฟ้อเริ่มเลยเถิดแล้ว
แต่ด้วยเฟดที่ลดลงเป็นสองเท่าและออกมาพร้อมการคาดการณ์สำหรับอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ดุดันยิ่งกว่าในตลาด แล้วจะมีอะไรขยับเข็ม ณ จุดนี้ได้หรือไม่? ผมไม่แน่ใจว่าข้อพิสูจน์เรื่องอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นจะเปลี่ยนความคิดของใครได้ ณ จุดนี้คงเป็นเรื่องยากสำหรับตลาดที่จะด้อยค่าการกระชับของเฟดมากกว่าที่ได้ให้คำมั่นสัญญาไว้
ในขณะเดียวกัน ทั้งรายได้ส่วนบุคคลและการใช้จ่ายส่วนบุคคลคาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อน +0.5% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน และ +0.6% เมื่อเทียบกับเดือนที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน ตามลำดับ นั่นจะทำให้สูงกว่าระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาดถึง 10.3% ในรายได้และ 10.9% ในการใช้จ่าย ในระบบเศรษฐกิจที่เน้นการบริโภคอย่างสหรัฐ การเพิ่มขึ้นอย่างสม่ำเสมอเช่นนี้ชี้ให้เห็นถึงการหนุนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
รายได้ที่สูงขึ้นสะท้อนถึงสองสิ่ง: อย่างแรกคือผู้คนทำงานมากขึ้น อย่างที่สองคือค่าแรงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่มีค่าแรงต่ำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเป็นผลจากการแข่งขันที่เข้มข้นในสหรัฐอเมริกา (และที่อื่นๆ) เมื่อเร็วๆ นี้สำหรับผู้ที่อยู่ขั้นล่างของบันไดการจ้างงาน ที่หลายคนถูกขอให้ทำงานอันตรายที่ต้องใกล้ชิดกับคน (ที่ไม่สวมหน้ากาก ไม่ฉีดวัคซีน และหยาบคาย) โดยไม่มีการป้องกันใดๆ
ความสนใจจำนวนมากมุ่งเน้นไปที่อัตราการลาออก เปอร์เซ็นต์ของคนที่ลาออกจากงานด้วยความเต็มใจในทุกเดือน ซึ่งเพิ่งทำสถิติสูงสุด นั่นถือเป็นการวัดความเชื่อมั่นของผู้คนในความสามารถว่าจะหางานใหม่ได้ ส่วนอีกด้านคืออัตราการจ้างงาน ซึ่งเพิ่งทำสถิติสูงสุดไปเช่นกันเมื่อเร็วๆ นี้ (ไม่นับการพุ่งขึ้นอย่างมากทันทีหลังจากมีการยกเลิกการล็อกดาวน์) คนที่ลาออกจากงานมักจะย้ายไปทำงานที่มีรายได้ดีกว่า นี่เป็นวิธีที่ดีในการอธิบายว่ารายได้และการใช้จ่ายส่วนบุคคลสามารถเพิ่มขึ้นอย่างมากในสหรัฐได้อย่างไร คำตอบคือผู้คนอัปเกรดงานของพวกเขา
สินค้าคงทนของสหรัฐจะเผยแพร่ในวันพฤหัสบดีเช่นกัน ตลาดคาดว่าแม่จะปรับขึ้น 2.0% อย่างรวดเร็วหลังจากการปรับลงสามครั้งติดต่อกัน สิ่งนี้จะนำดัชนีคำสั่งซื้อไปสู่ระดับที่น่าตกใจ 15.5% เหนือระดับก่อนเกิดการแพร่ระบาด สิ่งที่เราเห็นทั่วโลกคือความเร่งรีบที่จะลงทุนเพื่อเอาชนะปัญหาคอขวดและการขาดแคลนที่เกิดขึ้น ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น นี่อาจเป็นการหว่านเมล็ดของภาวะเงินฝืด หรืออย่างน้อยก็ลดภาวะเงินเฟ้อ ไปทีละเล็กทีละน้อย
แคนาดาจะเผยแพร่ตัวเลข GDP รายเดือนในวันพฤหัสบดีเช่นกัน ยังไม่มีการคาดการณ์ใดๆ
สหรัฐอเมริกาจะเริ่มวันหยุดเทศกาลคริสต์มาสในวันศุกร์ ดังนั้นรายงาน Commitment of Traders รายสัปดาห์จะออกมาในวันพฤหัสบดี เอ…ถ้าพวกเขาออกวันพฤหัสบดีได้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้นทุกสัปดาห์ล่ะเนี่ย?